โจ ไบเดน ได้เข้า ฉีดวัคซีน ต้านโควิด-19 ออกทีวี เพื่อแสดงความมั่นใจให้ประชาชนว่าวัคซีนชนิดนี้มีความปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายกับ ปชช. เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม สำนักข่าว BBC รายงานว่า นาย โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เข้ารับฉีดวัคซีนไฟเซอร์ วัคซีนต้านโควิด-19 โดยการฉีดวัคซีนของนาย ไบเดน ครั้งนี้เป็นการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าวัคซีนชนิดนี้ปลอดภัย
โดยนายไบเดน ให้สัมภาษณ์ว่า เขาต้องการแสดงให้ประชาชนเห็นว่าทุกคนเตรียมพร้อม
เมื่อวัคซีนพร้อมฉีดกับประชาชนทุกคน และประชาชนทุกคนไม่จำเป็นต้องกังวลถึงความปลอดภัยของวัคซีนชนิดนี้ นอกจากนี้ ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้ยกความดีความชอบให้กับรัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเริ่มฉีดวัคซีนในครั้งนี้
ซึ่งนอกจากนายไบเดนแล้ว นาง จิล ไบเดน ภรรยาของว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ได้เข้ารับฉีดวัคซีนแล้วเช่นเดียวกัน ส่วน นาง กมลา แฮร์ริส และสามีของเธอ น่าจะเข้ารับฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ในสัปดาห์หน้า ขณะที่นาย ทรัมป์ เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขายังไม่มีกำหนดเข้ารับวัคซีนชนิดดังกล่าว แต่จะเข้ารับเมื่อ “เวลาเหมาะสม”
ก่อนหน้านี้นายไบเดน เคยประกาศว่า เขาตั้งเป้าว่าจะมีประชาชนกว่า 100 ล้านคนได้รับการฉีดวัคซีนในช่วง 100 วันแรกที่เขาเข้าดำรงตำแหน่ง โดยนายไบเดน มีกำหนดเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ในวันที่ 21 มกราคม ที่จะถึงนี้
ขณะนี้ประเทศสหรัฐฯมียอดผู้ป่วยสะสมเกือบ 18.5 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสแล้วมากกว่า 300,000 ศพ
ทางองค์การอนามัยโลกยังได้กล่าวยกย่องประเทศที่สามารถติดตามเชื้อไวรัสได้อย่างใกล้ชิดและทันต่อเวลา ซึ่งการที่สามารถติดตามเชื้อได้อย่างใกล้ชิดยังเป็นการช่วยเหลือต่อ สาธารณสุข ทั่วโลกอีกด้วย
โดยองค์การอนามัยโลกได้แสดงความเห็นเหมือนกับทางการอังกฤษที่ระบุว่า ยังไม่พบหลักฐานว่าไวรัสชนิดนี้มีความอันตรายกว่าโควิด-19 ทั่วๆไป แต่มีความเป็นไปได้ว่าไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าไวรัสของโรคโควิด-19 แบบปกติ
คาดว่าวัคซีนที่ถูกผลิตขึ้นน่าจะสามารถยังใช้งานได้ตามปกติ ทั้งนี้ทางนักวิทยาศาสตร์กำลังตรวจสอบหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม และน่าจะได้ข้อสรุปในช่วงสองสามวัน หรือ สองสามสัปดาห์ถัดจากนี้
ก่อนหน้านี้หลายประเทศได้ประกาศสั่งแบนไม่ให้ผู้โดยสารหรือนักเดินทางจากประเทศอังกฤษเข้าประเทศ เพื่อเป็นสกัดไม่ให้เชื้อไวรัสชนิดใหม่แพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่นๆทั่วโลก
ปชช. สหรัฐฯ นับล้านเตรียม เดินทาง ไม่สนคำเตือน โควิด-19
สื่อท้องถิ่นเปิดเผยว่า ประชาชน สหรัฐฯ นับล้านเตรียม เดินทาง ไม่สนคำเตือน ของทางการ ที่กล่าวว่าการ เดินทาง อาจทำให้ยอด โควิด-19 เพิ่มสูงขึ้น
เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม สำนักข่าว ABC รายงานว่า มีประชาชนชาวสหรัฐฯมากกว่า 1 ล้านคนที่เดินทางผ่านจุดตรวจในสนามบิน ในช่วงสองวันที่ผ่านมา แม้ว่าทางการจะเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางในช่วงเทศกาลคริสต์มาส เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยนี่นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ที่มีผู้โดยสารมากกว่าล้านคน
โดยครั้งล่าสุดที่มีผู้โดยสารเดินทางในสนามบินมากกว่าล้านคน คือช่วงสิ้นสุดเทศกาลขอบคุณพระเจ้า หรือ Thanksgiving ซึ่งหลังเทศกาลสิ้นสุดลง ตัวเลขผู้ป่วยต่อวันได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งแม้ว่าจะยังไม่มีตัวเลขชัดเจนว่าในจำนวนผู้ป่วยใหม่เกี่ยวข้องกับการเดินทางกี่ราย แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า การเดินทางมีส่วนกับจำนวนผู้ป่วยใหม่ที่เพิ่มขึ้น
ก่อนหน้านี้ นายแอนโทนี่ เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันภูมิแพ้และโรคติดต่อในสหรัฐฯ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Fox News พร้อมระบุว่า ขอให้ประชาชนระมัดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์การแพร่ระบาดเลวร้ายลง ซึ่งเขายกตัวอย่างว่า ประชาชนไม่ควรชวนเพื่อนจากทั่วประเทศ 15-20 คนมาร่วมทานอาหารเย็นด้วยกัน เพราะเสี่ยงต่อการติดโรค พร้อมย้ำว่าไม่มีการยกเลิกคริสต์มาส
ขณะนี้ประเทศสหรัฐอเมริกามียอดผู้ป่วยสะสม มากกว่า 18 ล้านราย และมีเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสแล้ว 3 แสนศพ โดยประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มียอดผู้ป่วยสะสมมากที่สุดในโลก
ขอให้ทางผู้ผลิตหรือจัดจำหน่ายสาย Ensave หยุดอ้างผลวิเคราะห์องค์ประกอบธาตุการและแผ่ปริมาณรังสีที่ สทน.ออกผลวิเคราะห์ให้ เนื่องจากไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติที่ทางบริษัทฯ นำไปใช้ในการจำหน่ายสินค้า เนื่องจากจะทำให้คนเข้าใจผิดและตีความไปว่า สทน. รับเรื่องการประหยัดพลังงาน สำหรับโกดังหรือสถานที่จัดเก็บสินค้านี้ในปริมาณมากๆ อาจจะมีปริมาณรังสีสูง ผู้ที่ดูแลต้องระมัดระวังการได้รับปริมาณรังสีที่เกินค่ามาตรฐานโดยไม่จำเป็น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาว”
Credit : แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว | แต่งบ้านและสวน | พระเครื่อง | รีวิวกล้องถ่ายรูป